กำลังโหลด...

×



HRM / HRD จุดเปลี่ยนผู้ที่ประสบความสำเร็จทุกคนรู้ แต่คนฉลาดก...

magazine image
HRM / HRD

จุดเปลี่ยนผู้ที่ประสบความสำเร็จทุกคนรู้ แต่คนฉลาดกลับไม่รู้

              สวัสดีครับทุกท่าน สำหรับบทความตอนที่แล้วเราได้ถอดบทเรียนของผู้ที่ชอบดูถูกผู้อื่นกันไปแล้ว สำหรับบทความในตอนนี้ เราจะมาเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการค้นหาจุดเปลี่ยนจากความยึดถือตัวตน ให้กลายเป็นคนที่กล้าพร้อมเผชิญหน้าทำสิ่งใหม่ เรามาเริ่มเรียนรู้กันเลยนะครับ 
              ย้อนกลับไปเมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมา ที่บริษัทผลิตอาหารแช่แข็งแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี มีผู้จัดการกะ (Shift Manager) ของบริษัทท่านหนึ่งได้ลาออกไป ส่งผลให้ตำแหน่งงานนั้นว่างลงทันที และเพื่อสรรหาบุคคลมาทำงานในตำแหน่งนี้ บริษัทจึงได้ลงประกาศโฆษณาตามสื่อต่าง ๆ มากมาย 
              แม้เวลาจะผ่านไปหลายเดือนแล้วก็ตาม แต่ตำแหน่งนั้นก็ยังคงว่างอยู่ ด้วยเหตุนี้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบจึงคิดวิธีการรับสมัครในรูปแบบใหม่ โดยประกาศรับสมัครจากบุคคลที่ทำงานอยู่ในบริษัทนั้นเอง เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่คิดว่าตนเองมีคุณสมบัติที่เหมาะสมสามารถเขียนใบสมัคร เพื่อทำการสอบสัมภาษณ์ได้ 
              กวินพงษ์ หัวหน้างานฝ่ายผลิต คือบุคคลหนึ่งที่ให้ความสนใจในการคัดเลือกในครั้งนี้ โดยวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการส่งใบสมัคร ขณะที่กวินพงษ์กำลังสาละวนกับการเขียนใบสมัครอยู่นั้น พัฒน์เพื่อนสนิทของเขาก็เดินเข้ามาตบไหล่ กล่าวทักทายตามภาษาคนสนิทว่า “เป็นอย่างไรบ้างเพื่อน ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นหน้าเห็นตาเลย” 
            “สบายดีว่ะ แต่งานก็ยุ่งๆ นิดหน่อย” กวินจำน้ำเสียงของพัฒน์ได้ จึงตอบกลับโดยไม่ได้หันหลังกลับไปมอง เพราะกำลังเพ่งสมาธิกับการเขียนใบสมัคร
             พัฒน์เริ่มสงสัยว่า ทำไมเพื่อนถึงไม่เงยหน้ามาทักทายเหมือนทุกครั้ง และเมื่อเขาสังเกตก็เห็นกวินกำลังเขียนเอกสารอยู่ จึงก้มหน้าลงไปมอง จากนั้นจึงตะโกนด้วยความตกใจว่า 
            “เฮ้ย! เอาจริงเหรอ นี่เอ็งจะสมัครไอ้ตำแหน่งบ้าๆ นั่นจริงเหรอวะเพื่อน” 
            กวินเงียบไม่ตอบกลับ เขายังคงมุ่งมั่นกับการเขียนใบสมัครให้เสร็จทันกำหนดส่งตอนสี่โมงเย็นในวันนี้ 
            เมื่อพัฒน์ไม่ได้คำตอบจากเพื่อนก็เอามือเกาหัวแล้วแสดงท่าทางหงุดหงิด ครู่หนึ่งเขาก็พูดต่อว่า “ไอ้กวินน้องรักเอ๊ย ข้ามีอะไรจะบอกเอ็ง ข้าเห็นคนเขาก็ส่งใบสมัครกันไปตั้งเยอะแล้ว บางคนทั้งเรียนจบสูงว่าเอ็ง ทำงานเก่งกว่าเอ็ง มนุษยสัมพันธ์ เส้นสายกับผู้จัดการคนอื่นๆ เขาก็ดีกว่าเอ็ง และที่สำคัญ เขายังมีหน้าตาและบุคลิกภาพที่ดีกว่าเอ็งตั้งเยอะ ข้าว่าเอ็งอย่าเสียเวลามานั่งเขียนไอ้ใบสมัครบ้าๆ นี่อยู่เลย เอ็งขย้ำแล้วโยนมันทิ้งถังขยะไปเถอะ แล้วกลับหอไปดื่มเบียร์เย็นๆ กัน” 
           กวินไม่สนใจคำพูดของพัฒน์แม้แต่น้อย เขายังคงตั้งหน้าตั้งตากรอกรายละเอียดลงในใบสมัครอยู่อย่างไม่ลดละ ส่วนพัฒน์ที่เห็นเพื่อนยังคงขีดๆ เขียนๆ แก้ๆ อยู่อย่างนั้น ก็งัดเอาไม่ตายมาพูดว่า 
           “ข้าว่านะ ถึงเอ็งจะส่งใบสมัครไป เขาก็ไม่สนใจที่จะเรียกเอ็งไปสัมภาษณ์หรอกโว้ย! เพราะฝ่ายบุคคลเขามีคนที่เขาเลือกเอาไว้อยู่แล้ว แต่ถ้าเอ็งโชคดีได้ไปสัมภาษณ์ เอ็งก็จะเป็นได้แค่ไม้ประดับ ไม่ได้เป็นตัวจริงเสียงจริงหรอกโว้ย! อย่าเสียเวลาเปล่าเลยเชื่อข้าเถอะ ข้าทำงานที่นี่มาก่อนเอ็งตั้งนาน ข้ารู้ ข้าเห็น ข้าไม่อยากให้เอ็งผิดหวังว่ะ นี่ถ้าไม่รักกันจริงข้าไม่พูดหรอกนะ” 
           แต่กวินยังคงตั้งใจกรอกข้อมูลลงในใบสมัครอย่างไม่ลดลง ไม่นานเขาก็กรอกรายละเอียดจนครบถ้วน สมบูรณ์ หลังจากที่กวินตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้ง เขาก็หันไปยิ้มกับพัฒน์แล้วพูดว่า “เสร็จสักที เอาละขอตัวก่อนนะครับผม ขอไปทำตามฝันสักครั้งก็แล้วกันครับ” พูดจบกวินก็เดินจ้ำอ้าวไปที่ห้องผู้จัดการฝ่ายบุคคลเพื่อส่งใบสมัครทันที เมื่อเวลาผ่านไปได้สามวัน กวินก็ได้รับการติดต่อจากฝ่ายบุคคลให้เข้ารับการสัมภาษณ์ซึ่งจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า  
          เย็นวันหนึ่งระหว่างที่กวินกำลังนั่งทบทวนข้อมูลประกอบการสัมภาษณ์ พัฒน์เพื่อนซี้ที่อยู่หอพักเดียวกันก็เดินเข้ามาหาแล้วถามว่า “เป็นไงบ้างวะไอ้เก่ง เอ็งเตรียมตัวสัมภาษณ์อยู่เหรอ? ”
         “ใช่ครับคุณเพื่อน ข้ากำลังท่องลำดับขั้นตอนของกระบวนการทำงานกับวิธีการจัดการกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในโรงงานทั้งหมด ตอนนี้ยังจำได้ไม่หมดเลย” 
          พัฒน์ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะดังลั่น  “ฮ่าๆ ๆ” จากนั้นก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า “อย่าหาว่าข้าสอนเลยนะ พูดตรงๆ อย่าโกรธกันนะ ข้าว่าเอ็งเอาเวลาไปนั่งดูการแข่งขันฟุตบอลเสียยังดีกว่ามานั่งท่องจำอะไรบ้าๆ พวกนี้ เสียเวลาเปล่าน่ะ ข้าเห็นมาเยอะแล้ว หลายคนไปสัมภาษณ์กินแห้วกลับมากันทั้งนั้น คนสัมภาษณ์เขาจะถามคำถามยากๆ ที่เอ็งไม่รู้ หรือไม่คิดว่าพวกเขาจะถาม ต่อให้เอ็งท่องจำเรื่องงานได้หมดทั้งมวลก็ไร้ความหมาย ข้าบอกเอ็งแล้วว่า เขามีตัวของเขาอยู่แล้ว เสียเวลาเปล่า เลิกคิด เลิกฝันเสียเถอะ โรงงานของเรามันก็ได้แค่นี้แหละ ดูอย่างข้าซิ ไม่ฝัน ไม่กระเสือกกระสน ไม่ดิ้นรน อยู่แบบพอมี เลิกงาน กินเหล้า เสาร์อาทิตย์ตกปลา เตะบอล พอใจที่ได้เป็นแค่หัวหน้าก็พอแล้ว เอ็งอย่าไปทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูงเลยวะ เชื่อข้า เอ็งไม่ต้องไปสัมภาษณ์ให้เสียเวลา เอ็งจะได้ไม่ต้องมาอกหัก ผิดหวัง เจ็บใจ ตีอกชกลมเหมือนกับหลายๆ คนที่ข้าเคยเห็น ไปๆ เลิกท่อง เลิกอ่านไอ้เอกสารบ้าๆ นี่ได้แล้ว ไปกินเหล้าที่ห้องข้าดีกว่า วันนี้ข้าทำหมูจุ่ม พร้อมน้ำจิ้มสูตรเด็ดด้วยนะโว้ย” 
         กวินยิ้ม แล้วตอบกลับไปว่า “ข้าขอขอบใจเอ็งมากๆ ว่ะเพื่อน แต่วันนี้ไม่ละ ข้าขอตัวไปอ่านหนังสือต่อก่อนนะ” พูดจบกวินก็เดินเข้าห้องพักไป

         แล้ววันสัมภาษณ์ก็มาถึง ในห้องสัมภาษณ์ ผู้จัดการโรงงาน ผู้จัดการแผนก และผู้จัดการฝ่ายบุคคลต่างนั่งรอเรียบร้อย เมื่อกวินเดินเข้ามา เขายกมือไหว้ทั้งสามท่านจากนั้นก็กล่าวสวัสดี แล้วการสัมภาษณ์ก็เริ่มขึ้น 
         การสัมภาษณ์ในวันนั้นใช้เวลาประมาณเกือบสองชั่วโมง ซึ่งกวินหัวหน้างานหนุ่มก็สามารถตอบคำถามให้คณะกรรมการพอใจได้ไม่น้อย 
         เวลาผ่านไปประมาณสองสัปดาห์ กวินคอยลุ้นผลการสัมภาษณ์จนไม่เป็นอันกินอันนอน แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง ผู้จัดการโรงงานเรียกกวินไปพูดคุยที่ห้องทำงาน และแจ้งว่า กวินได้รับการคัดเลือกให้ทดลองทำงานในตำแหน่งผู้จัดการกะเป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยเขาจะเริ่มทดลองทำงานร่วมกับพนักงานกะ A ซึ่งจะเริ่มเข้ากะเช้าในวันรุ่งขึ้น กวินยิ้มแก้มแทบปริเดินออกมาจากห้องทำงานของผู้จัดการด้วยความภูมิใจ แต่ในความดีใจนั้น ในใจลึกๆ เขาก็ยังหวาดหวั่นกับตำแหน่งงานที่เขาเพิ่งได้รับมาไม่น้อย 
กวินเริ่มทดลองงานโดยพยายามทำงานอย่างสุดความสามารถ แต่เจ้ากรรม ผลลัพธ์ของงานไม่เป็นดั่งที่เขาฝันเอาไว้ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่กวินก็รู้สึกอึดอัดกับการทำงานในตำแหน่งผู้จัดการกะนี้มากขึ้นๆ ทุกที เขารู้สึกไม่มีความสุขในการทำงานจนอยากจะลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการกะ แล้วกลับไปทำงานในตำแหน่งหัวหน้างานเหมือนเดิมที่เคยทำมา แต่ก็อาย ความรู้สึกของเขาตอนนี้ไม่ต่างกับภูเขาไฟที่กำลังระเบิด ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปจากที่เคยมีแต่รอยยิ้ม ตอนนี้กลับบึ้งตึง จนคนรอบข้างสังเกตได้
ไม่นานก็เริ่มมีเสียงระแคะระคายหูมายังผู้จัดการโรงงานซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของกวิน เช่น “ทำงานไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง ตนเองเป็นผู้จัดการแท้ๆ แต่กลับไปแย่งงานกับหัวหน้างาน” “เป็นผู้จัดการแต่ไม่กล้าพูดต่อหน้าพนักงาน ” หรือแม้กระทั่ง “เป็นผู้จัดการที่เกรงอกเกรงใจลูกน้อง ไม่กล้าใช้งานลูกน้อง กลัวลูกน้องไม่รัก เรียกได้ว่ากลัวมากเสียจนทำให้ตัวเองต้องมาเหนื่อย” 
         เมื่อเวลาผ่านไปประมาณเดือนครึ่ง ซึ่งเป็นระยะเวลาครึ่งทางของการประเมินผลการปฏิบัติงานของเขา ผู้จัดการโรงงานก็ได้เชิญกวินเข้าไปพบเพื่อประเมินผลการทำงานในช่วงเดือนแรก เมื่อกวินเดินเข้ามาถึงห้องผู้จัดการโรงงาน เขาก็นั่งลงแล้วยกมือไหว้อย่างสุภาพ แล้วกล่าวคำทักทาย “สวัสดีครับ” 
        ผู้จัดการโรงงานยกมือไหว้กลับแล้วก็กล่าวทักทายด้วยความเป็นห่วงว่า “เป็นอย่างไรบ้างกวิน ทำงานหนื่อยไหม?” 
        กวินฝืนยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ร่างกายไม่เหนื่อยครับ แต่เหนื่อยใจมากกว่า”
        ผู้จัดการโรงงานสังเกตท่าทางของกวินก็รู้ได้เลยว่า เขามีเรื่องอึดอัดใจและอยากระบาย เขาจึงยิ้มแล้วถามไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลด้วยความเป็นห่วงเป็นใยว่า “คุณมีเรื่องอะไรอยากเล่าให้ผมฟังไหม?” 
        “ขอบคุณครับ” กวินทำหน้าเศร้า จากนั้นก็เริ่มระบายความในใจทันที “ผมยอมรับว่า ตอนแรกผมรู้สึกดีใจมากๆ ถึงมากที่สุด ที่ได้รับคัดเลือกให้เข้ามาทำงานในตำแหน่งผู้จัดการกะ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกอึดอัดใจมากๆ ถึงมากที่สุดเลยครับ จนผมไม่อยากจะทำงานในตำแหน่งนี้แล้ว ผู้จัดการครับผมขออนุญาตกลับไปทำงานในตำแหน่งหัวหน้าแผนกเหมือนเดิมจะได้ไหมครับ ?” 
        ผู้จัดการโรงงานฟังดังนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงสอบถามกวินกลับไปว่า “ใจเย็นๆ ก่อนกวิน ผมว่าคุณเป็นคนที่มีความรู้ มีความสามารถ แถมมีทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน คุณเป็นคนที่ไม่ย่อท้อต่อปัญหาหรืออุปสรรค คุณคิดดูนะ คุณใช้ความพยายามมากขนาดไหนกว่าที่จะได้รับคัดเลือกมาทำงานในตำแหน่งนี้ แล้วทำไมถึงจะมาถอดใจง่ายๆ อย่างนี้ล่ะ” 
        กวินส่ายหัวไปมา แล้วก็ตอบกลับไปว่า “ผมขอโทษจริงๆ ครับผู้จัดการ ผมคงไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้จริง ๆ” 
แม้ผู้จัดการจะพยายามอธิบายเท่าไหร่ กวินยังคงยืนกรานที่จะขอไม่ทำงานในตำแหน่งนี้ต่อ ผู้จัดการโรงงานจับความรู้สึกของกวินได้ว่าเขาเริ่มหมดวัง และต้องการหาทางออก ซึ่งผู้จัดการก็ได้เตรียมพร้อมสำหรับเขาเอาไว้แล้ว อันที่จริง ผู้จัดการโรงงานท่านนี้ได้ศึกษาประวัติและพฤติกรรมของกวินมาเป็นอย่างดี ซึ่งเขาพบว่า กวินเป็นหัวหน้างานที่มีความรู้ ความสามารถสูง เรียกได้ว่าฉลาดจนหาตัวจับยากเลยทีเดียว แถมยังเป็นคนที่มีทัศนคติเชิงบวกกับองค์กรอีกด้วย มีน้อยคนนักที่จะทำได้แบบเขา แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดอ่อนที่กวินยังก้าวข้ามผ่านไปไม่ได้คือ เขามีความเป็นตัวของตัวเอง หรืออัตตาสูงมากๆ และยึดติดกับตำแหน่งผู้จัดการที่เพิ่งได้รับมา เขามักจะเชื่อมั่นในตนเองโดยยึดวิธีทำงานแบบเดิมๆ ไม่กล้าที่จะทดลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่แตกต่างออกไป จนทำให้การทำงานมีปัญหา ดังนั้นผู้จัดการโรงงานจึงให้คำแนะนำกับเขาโดยเล่าเรื่องของตนให้กับกวินฟัง ดังนี้ 
        “กวินผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดี เพราะกว่าผมจะมาเป็นผู้จัดการโรงงานแบบทุกวันนี้ ผมก็ไต่เต้ามาจากหัวหน้างาน แล้วผมก็ตั้งใจทำงานจนได้รับคัดเลือกให้มาดำรงตำแหน่งผู้จัดการ ผมยังจำได้ว่าตอนที่ผมได้เลื่อนมาทำงานในตำแหน่งผู้จัดการ ผมยึดติดกับสไตล์การทำงานแบบเดิมๆ เหมือนกับที่ทำงานในตำแหน่งหัวหน้างานไม่มีผิด เพราะอะไรนั่นน่ะเหรอ? ก็เพราะว่าผมเป็นคนมั่นใจในความสามารถของตนเองสูงมาก ไม่ยอมฟังใคร ผมคิดว่าผมฉลาดกว่าผู้อื่น คนรอบข้างผมนั้นด้อยกว่าผมทั้งสิ้น จนวันหนึ่งผู้จัดการเรียกผมเข้าไปคุยแล้วท่านก็บอกกับผมว่า ผมเป็นคนฉลาด แต่ให้ลองหัดเป็นคนโง่ดูดบ้าง ซึ่งผมสารภาพกับคุณตรงๆ เลยว่า ตอนนั้นผมโกรธจนหน้าแดงที่ผู้จัดการโรงงานท่านมาด่าว่าผม จนผมฉุนกึ้กเลย แต่พอตั้งสติได้ผู้จัดการโรงงานท่านก็อธิบายว่า ท่านไม่ได้จะด่าหรือพูดให้ผมเสียหน้า แต่สิ่งที่ท่านจะพูดต่อไปนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปได้อย่างแน่นอน ซึ่งฟังแล้วผมก็งง แต่ยังตั้งใจฟังต่อ เพราะในใจคิดว่า คนระดับท่านคงไม่พูดอะไรเล่นๆ เป็นแน่ และผมจำได้อย่างแม่นยำเลยว่า ท่านถามผมว่า “อะไรที่ทำให้คนเก่ง หรือคนฉลาดไปไม่ถึงไหน?” 
        “ไม่รู้ครับ” ผมตอบไปห้วนๆ เพราะผมงงงวยกับผู้จัดการโรงงานท่านนั้นมากๆ ครู่หนึ่งท่านก็หยิบหนังสือเรื่อง ‘คนฉลาดแสร้งโง่’ มาจากตู้หนังสือด้านหลังโต๊ะทำงานของท่าน จากนั้นก็เปิดหน้าที่ท่านคั่นเอาไว้ แล้วอ่านให้ผมฟังด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า 
“คนฉลาดเปิดปากพูดเป็นทฤษฎี แต่ไม่ยอมปฏิบัติการงานใด ๆ จึงส่งผลทำให้พวกคนฉลาดเหล่านั้นไม่สามารถพัฒนาความสามารถใด ๆ ได้เลย แต่ถ้าเราลองไม่ยึดติดว่าเราเป็นคนเก่ง คนฉลาด และยอมแกล้งทำตัวเป็นคนโง่ ๆ หรือคนไม่รู้เรื่อง แล้วทำในสิ่งที่แตกต่างไปจากที่เคยทำ ก็อาจจะทำให้เราประสบความสำเร็จเจริญก้าวหน้าในชีวิตได้ และนี่คือ สิบข้ออ้างที่ทำให้คนฉลาดไปไม่ถึงไหน” ระหว่างที่ท่านอธิบายนั้นผมก็คิดตามจนเห็นภาพ ซึ่งข้ออ้างทั้งสิบข้อ ผมจะมาเล่าต่อให้คุณฟังทีละข้อดังนี้ 
       1. คนฉลาดจะไม่ทำงานที่ไม่รู้ แต่ถ้าเราเปิดใจลองทำงานที่เราไม่รู้ ก็จะทำให้เราได้ศึกษา ค้นหาความรู้เพิ่มเติม ได้ฝึกฝน และเรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ ที่อาจจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต คุณว่าจริงไหม? 
       2. คนฉลาดจะไม่ทำงานที่ไร้เหตุผล หรือมีความคลุมเครือ แต่ถ้าเราลองแกล้งไม่รู้ แล้วทำงานที่ไร้เหตุผลหรือมีความคลุมเครือ เช่น งานที่เรายังไม่แน่ใจในผลลัพธ์ว่าจะออกมาอย่างไร หรืองานที่ดูแล้วอาจจะไม่มีเหตุผลในตอนแรก แต่ตอนท้ายอาจกลับ กลายเป็นงานที่มีเหตุผลมากมายก็เป็นได้ คุณว่าจริงไหม? 
       3. คนฉลาดจะไม่ทำงานที่ไร้ประโยชน์ งานบางประเภทอาจดูไร้ประโยชน์ในสายตาของเรา แต่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นก็ได้ หรืองานบางประเภทอาจดูไร้ประโยชน์ในตอนนี้ แต่ในอนาคตอาจเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้เราช่วยเหลือผู้อื่นทำงานโดยที่เราไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ใครจะไปรู้ล่ะ ในอนาคต คนที่เราเคยช่วยไว้นั้นอาจจะกลับมาช่วยเราก็ได้ เหมือนนิทานเรื่องราชสีห์กับหนูนั่นไง จำได้ไหม?
       4. คนฉลาดจะไม่ทำงานที่อาจจะล้มเหลว ถ้าเราลองเปิดใจทำงานที่ดูแล้วอาจจะล้มเหลวนั้นอย่างเต็มที่จนสุดความสามารถ โดยไม่ต้องไปคำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ แล้วปรากฏว่างานนั้นประสบความสำเร็จขึ้นมาจริงๆ เราจะดีใจและมีความสุขมากมายเพียงใด หรือถ้างานนั้นเกิดล้มเหลวขึ้นมาจริงๆ ถ้าหากเรามองโลกในแง่ดี อย่างน้อยเราก็ได้ชื่อว่าเป็นคนที่กล้าลงมือทำ และที่สำคัญเราอาจจะได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ อีกด้วย จริงไหม? 
       5. คนฉลาดจะไม่ทำงานที่คิดแล้วไม่คุ้ม คุณลองคิดดูนะ ถ้าทุกคนในองค์กรมัวแต่คิดแบบนี้แล้วองค์กรของเราจะอยู่อย่างไร? คงจะมีแต่คนเห็นแก่ตัวเดินเต็มโรงงานไปหมดจริงไหม แม้งานบางประเภทเราอาจคิดว่าไม่คุ้มที่จะทำหรือได้ไม่คุ้มเสีย แต่คุณเคยได้ยินบ้างไหมล่ะว่า บางทีการที่เราขายของขาดทุน แต่เรากลับได้ความสุขกลับมาเป็นกำไร จริงไหมล่ะ?
       6. คนฉลาดจะไม่ทำงานที่ยืดเยื้อน่าเบื่อ ถ้าเราไร้ซึ่งความอดทน ขาดความอดกลั้น จะเลือกทำแต่งานที่เห็นผลลัพธ์ไวๆ อย่างเดียวก็คงไม่ถูกนัก เพราะงานบางประเภทต้องอาศัยเวลา อาศัยความอดทน เหมือนการรอผลไม้ที่สุกโดยธรรมชาติ ซึ่งจะมีรสชาติหวานอร่อยกว่าผลไม่ที่เราบ่มให้สุกไวๆ จริงไหม? ดังนั้นเราต้องไม่เลือกทำงานโดยเด็ดขาด 
       7. คนฉลาดจะไม่ทำงานที่สู้หน้าใครไม่ได้ เวลาที่เราทำงาน เราต้องเอาผลลัพธ์ของงานเป็นที่ตั้ง โดยต้องไม่ยึดติดกับหัวโขน เกียรติยศ ชื่อเสียง ตัวเราก็จะเบาสบาย พร้อมที่จะทำงานในลักษณะใดก็ได้ เพราะเราตั้งมั่นที่อยากจะทำงานให้ออกมาดี ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราตั้งกำแพงแก้วเจ็ดชั้น ยกตัวเราสูงศักดิ์ เราก็จะไม่กล้าทำงานอะไรเลย เพราะกลัวถูกเยาะเย้ย กลัวคนดูถูกเหยียดหยาม ซึ่งเราอาจจะคิดไปเองทั้งๆ ที่คนรอบข้างเขาไม่ได้คิดอะไรกับเราเลยสักนิด ตัวเราก็จะหนัก เพราะคอยแบกเกียรติ แบกยศ แบกหัวโขน ยิ่งเราแบกสิ่งเหล่านั้นเอาไว้มากเท่าไหร่ ตัวและใจของเราก็จะหนักไปด้วย ทำให้ไม่ทำงานอะไรเลย
       8. คนฉลาดจะไม่ทำงานที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ข้อนี้สำคัญมาก และผมเองก็เป็นแบบนี้เลย คือยึดติดกับวิธีการเดิมๆ ที่เคยทำแล้วประสบความสำเร็จ เพราะมั่นใจว่าผลลัพธ์จะต้องออกมาดีอย่างแน่นอน จึงกลายเป็นการปิดกั้นการเรียนรู้ของตนเอง ไม่เรียนรู้สิ่งใหม่ ไม่ทำงานในรูปแบบใหม่ๆ สุดท้ายก็ย่ำเท้าอยู่กับที่ ตามคนอื่นเขาไม่ทัน 
      9. คนฉลาดไม่ทำงานประเภทที่ไม่อาศัยความรู้ อาจเป็นเพราะว่ามีความรู้อยู่เต็มสมอง ถ้างานไหนพิจารณาแล้วว่าไม่ต้องใช้ความคิด ก็จะไม่ทำเพราะอาย กลัวคนอื่นเขาหาว่าไร้สมอง เบาปัญญา 
     10. คนฉลาดจะไม่ทำงานที่เกลียด แน่นอนว่าคนทุกคนอยากทำงานที่ตนชอบ งานที่ตนรัก งานที่ตนถนัดเท่านั้น ถ้ามีงานที่ไม่ชอบ หรือถึงขั้นเกลียดก็จะไม่อยากทำ เพราะรู้สึกอึดอัด รำคาญใจ แต่ถ้าหากเรามองอีกมุมหนึ่งว่า หากเราลองทำงานที่เกลียดหรือไม่อยากทำไปสักพักหนึ่ง ไม่แน่นะงานเหล่านั้นอาจจะกลายเป็นงานที่เราชอบขึ้นมาอีกงานหนึ่งก็เป็นได้ จริงไหมล่ะ?
      และนี่คือ คำสอนที่ผมนำมาใช้ในการทำงาน และวันนี้ก็ถือได้ว่า เป็นโชคดีของผมที่ได้มาเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังอีกครั้ง” 
      หลังจากที่กวินฟังจบเขาก็กล่าวขอบคุณ แล้วพูดต่อว่า “ผู้จัดการนี่สุดยอดจริงๆ ครับ สามารถอ่านใจผมออกหมด ผมเข้าใจในสิ่งที่ผู้จัดการต้องการแนะนำผมแล้วครับ ขอบพระคุณมากๆ นะครับ ผมจะนำไปพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้นครับ ผมเข้าใจแล้วว่า บางครั้งการแกล้งโง่นั้น คือสุดยอดเคล็ดวิชาของคนฉลาดโดยแท้ ขอบพระคุณครับ” หลังจากพูดจบ กวินก็ยกมือไหว้ แล้วก็กลับไปทำงานต่อ 
      หลังจากที่ได้รับคำแนะนำจากผู้จัดการโรงงานแล้วกวินก็ค่อยๆ เปลี่ยนวิธีคิด และวิธีการทำงาน โดยเขายอมที่จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ แล้วเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ยึดติดกับตำแหน่งผู้จัดการที่ได้รับ ไม่นานเขาก็ทำงานเข้าขากับลูกน้องได้เป็นอย่างดีแล้วก็ผ่านการทดลองงาน กลายเป็นผู้จัดการตัวอย่างของโรงงานแห่งนั้น 
      จากเรื่องราวการทำงานของกวินทำให้เราได้เรียนรู้สองเรื่อง ได้แก่ การที่เราจะประสบความสำเร็จได้จะอาศัยเพียงแค่ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ ทัศนคติที่ดี อย่างเดียวไม่พอ เราต้องเปิดใจทำสิ่งใหม่ๆ หรือเปิดใจที่จะแกล้งโง่ เพื่อเปิดโอกาสให้ตัวเราได้เรียนรู้ ฝึกฝน และทดลองทำสิ่งใหม่ๆ โดยไม่ยึดติดกับเกียรติยศ ชื่อเสียง หัวโขน ความคิด หรือวิธีการปฏิบัติงานแบบเดิมๆ อีกต่อไป
      สอดคล้องกับแนวคิดที่ท่านพุทธทาสกล่าวเอาไว้ว่า จงทำงานด้วยความว่าง ซึ่งคำว่า ‘ว่าง’ ในที่นี้หมายถึง การทำตัวให้ว่างจากเกียรติยศ ชื่อเสียง ตำแหน่ง หรือจากสิ่งที่เราแบกไว้ จนทำให้ไม่กล้าทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำ เมื่อเราว่างหรือเราไม่แบกสิ่งเหล่านั้น ตัวของเราก็จะเบาสบาย เราจะตั้งสติ มีสมาธิ ทำงานด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น โดยเอาเป้าหมายของงานเป็นที่ตั้ง มีจิตใจจดจ่อ ไม่ว่อกแว่ก ไม่ไขว้เขว ทำงานด้วยความตั้งใจ เรียนรู้ ฝึกฝน พัฒนา ขบคิด เพื่อทำให้งานบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ อดทนรอ ทำไปเรื่อยๆ จนบรรลุเป้าหมาย ผลงานของเราก็จะเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้อื่น 
      สุดท้ายผมขอเป็นกำลังใจในการทำงานให้กับทุกๆ ท่าน และขอให้ทุกๆ ท่านสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาในตอนนี้ไปให้ได้นะครับ โชคดี และสวัสดีครับ 

Top 5 Contents