กำลังโหลด...

×



HRM / HRD คิดไม่สุด จะหยุดที่อะไร?

magazine image
HRM / HRD

คิดไม่สุด จะหยุดที่อะไร?

               สวัสดีครับทุกท่าน สำหรับบทความตอนที่แล้วเราได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการเป็นผู้นำที่ดี ซึ่งต้องมีความเก่งและมีน้ำใจ ทั้งสองสิ่งนี้จะทำให้เราประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน สำหรับบทความในตอนนี้เรามาเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับผลเสียของการคิดสั้นๆ คิดไม่สุด คิดแบบเฉพาะเบื้องหน้า หรือที่เรียกว่าขายผ้าเอาหน้ารอด เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น เรามาศึกษาพร้อมๆ กันเลยนะครับ 
               ณ โรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี เวลาประมาณเกือบบ่ายสามโมง 
กริ๊ง!!! เสียงโทรศัพท์ดังที่โต๊ะทำงานของ ‘ปกเกล้า’ หัวหน้างานฝ่ายผลิต เมื่อได้ยินเสียงนี้เขาก็ไม่รอช้า รีบยกหูโทรศัพท์เพื่อรับสายทันที 
              “นี่คุณปกเกล้า คุณช่วยมาดูงานที่ลูกน้องของคุณทำหน่อยได้ไหม?” ปกเกล้าฟังปุ๊บก็รู้เลยว่า ปลายสายคือเสียงของหัวหน้าฝ่ายควบคุมคุณภาพ ที่กำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง เขาจึงถามกลับไปด้วยความสงสัยว่า 
              “รบกวนคุณช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมครับ ว่ามีปัญหาอะไร?” 
              “มีงานเสียปนกับงานดีมาเพียบเลย ลูกน้องฉันตรวจจนปวดตาแล้วนะ ไม่รู้ทำไมพวกคุณถึงทำงานแย่กันแบบนี้ คุณรีบมาดูด่วนเลยนะ เดี๋ยวฉันจะรอที่แผนก” 
              หัวหน้าฝ่ายควบคุมคุณภาพตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงโมโห แล้วก็วางหูโทรศัพท์ดัง ปัง! จนลูกน้องของเขาที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ พากันตกอกตกใจ 
              ไม่ถึง 5 นาที ปกเกล้าก็เดินมาถึงแผนกตรวจสอบคุณภาพ แล้วเขาก็ไม่รอช้ารีบเดินตรงเข้าไปตรวจสอบชิ้นงานที่มีปัญหาทันที โดยเขาไปนั่งที่โต๊ะเพื่อตรวจสอบชิ้นงานทีละชิ้นๆ อย่างละเอียด เพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากใช้เวลาไปเกือบ 10 นาที เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดขึ้นว่า “ขอโทษนะครับ ผมเข้าใจปัญหาแล้ว เดี๋ยวผมขอกลับไปตรวจสอบที่หน้าไลน์การผลิตอีกครั้งแล้วจะกลับมารายงานให้ทราบนะครับ ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะเกิน 5 โมงเย็นครับ” 
              ประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำงานที่บริษัทแห่งนี้มากว่า 5 ปี ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าปัญหานี้น่าจะมีสาเหตุมาจากอะไร และจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร แต่เพื่อความมั่นใจหลังจากที่เดินออกจากแผนกควบคุมคุณภาพแล้ว เขาก็รีบเดินตรงไปที่แผนกปั๊มขึ้นรูปชิ้นงานทันที เพราะรู้อยู่ในใจแล้วว่าแผนกนี้คือต้นเหตุของปัญหา
              เมื่อเข้าไปที่บริเวณเครื่องจักรกำลังทำงาน เขาก็ค่อยๆ เดินรอบเครื่องจักรช้าๆ อย่างระมัดระวัง ตาก็คอยทำตัวเหมือนนักสืบสอดส่องหาจุดผิด เมื่อเดินรอบเครื่องจักรเสร็จแล้ว เขาก็เดินต่อไปที่หน้าตู้ควบคุม แล้วค่อยๆ พินิจพิจารณาพารามิเตอร์ของเครื่องจักรบนหน้าปัดทีละหัวข้ออย่างช้าๆ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และค้นหาจุดผิดปกติในแต่ละหัวข้ออย่างละเอียด ไม่นานนักสายตาก็เหลือบมาถึงหัวข้อความเร็วของเครื่องจักร แล้วต้องตกใจหน้าซีดเหมือนไก่ต้ม นั่นเป็นเพราะว่า ตัวเลขความเร็วที่หน้าปัดแสดงอยู่คือ 35 ครั้งต่อนาที ซึ่งเร็วกว่ามาตรฐาน เพราะโดยปกติตามมาตรฐานจะอยู่ที่ 30 ครั้งต่อนาที การที่พนักงานปรับความเร็วสูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดแบบนี้ อาจทำให้ชิ้นงานที่ผลิตและเครื่องจักรเสียหายได้
              หลังจากที่ปรับพารามิเตอร์ให้ตรงตามมาตรฐานแล้ว ปกเกล้าก็รีบนำชิ้นงานที่อยู่ในขอบข่ายที่น่าจะเกิดปัญหามาตรวจสอบใหม่ทั้งหมด ซึ่งพบว่ามีชิ้นงานที่ไม่ได้คุณภาพจำนวน 12 ชิ้น จากการผลิต 500 ชิ้น เมื่อจัดการกับชิ้นงานเหล่านั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็สั่งให้พนักงานในแผนกที่มีปัญหา หยุดการผลิตทันที จากนั้นก็เรียกพนักงานไปที่หน้าแผนก ประชุมถึงสาเหตุและวิธีป้องกันการเกิดซ้ำของปัญหา เมื่อพนักงานมากันครบ ปกเกล้าก็พูดขึ้นว่า “ตอนนี้มีชิ้นงานเสียจำนวน 12 ชิ้น จากการผลิต 500 ชิ้น ซึ่งเกิดจากการปรับความเร็วของเครื่องปั๊มเกินมาตรฐานที่กำหนด ยอมรับมาว่า ใครเป็นคนปรับความเร็วให้สูงขึ้น” 
              พนักงานเกือบ 10 คน ยืนเงียบไม่มีใครตอบ ปกเกล้าเริ่มโมโห จึงถามด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีกครั้งว่า “ใครเป็นคนไปปรับความเร็วของเครื่องจักร” แม้เขาจะถามถึงสองครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอยู่ดี ตอนนี้เขาโมโหจนหน้าแดง มือไม้สั่น เขาเอามือเท้าเอวแล้วตะโกนสุดเสียงว่า “สงสัยผีไปปรับเครื่อง ถ้าไม่มีใครยอมรับว่าเป็นคนปรับ จะแจกใบเตือนให้ทุกคน เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบร่วมกัน จำไว้! อย่าปรับเครื่องเอง ต้องทำตามมาตรฐานการทำงาน” พูดจบปกเกล้าก็สั่งเลิกประชุม และให้ลูกน้องแยกย้ายกันไปทำงาน 
              เวลาประมาณ 5 ทุ่มของคืนวันนั้น ขณะที่ปกเกล้ากำลังจะหลับ เขาก็สะดุ้งและตกใจตื่นเพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาเปิดไฟหัวเตียง เอามือขยี้ตา แล้วคิดในใจว่า “ใครวะ โทรมาตอนนี้ ไม่รู้จักเกรงใจกันบ้าง คนเพิ่งจะนอน เดี๋ยวถ้าเป็นพวกโทรผิดมานะ จะด่ากลับชุดใหญ่เลย” หลังจากที่รับโทรศัพท์แล้ว เขาก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงร้องไห้ ฟังแล้วสะเทือนใจยิ่งนัก “ฮือ! ฮือ!” เขาพยายามตั้งสติแล้วถามกลับไปว่า “ขอโทษนะครับ เอ่อ คุณครับ ไม่ทราบว่าโทรผิดหรือเปล่าครับ” 
              “ไม่ละค่ะ โทรไม่ผิดหรอก หนูขอคุยกับหัวหน้าปกเกล้าหน่อยได้ไหมคะ” เสียงปลายสายถามกลับมา เมื่อปกเกล้ารู้แน่ชัดว่าปลายสายไม่ใช่ผี แต่เป็นคนที่เขารู้จัก จึงรีบตอบกลับไปว่า “ได้ครับ คุยได้ครับ เชิญครับ”
               ปลายสายหยุดร้องไห้ แล้วเริ่มอธิบาย “สวัสดีค่ะหัวหน้าปกเกล้า หนูขอเรียกว่าพี่นะคะ หนูชื่อก้อย เป็นแฟนของภูชนนท์ พนักงานบริษัทของพี่ เขาทำงานในแผนกปั๊มขึ้นรูปในวันนี้ที่เขามีปัญหาเรื่องปรับเครื่องจักรน่ะค่ะ” 
ปกเกล้าคิดตามแล้วตอบกลับไป “อ๋อ จำได้แล้วครับ พนักงานคนที่ตัวผอมๆ สูงๆ ใช่ไหมครับ?” 
               “ใช่ค่ะ” ปลายสายตอบกลับ 
               “แล้วมีอะไรให้ผมช่วยครับ?” ปกเกล้าถามกลับไป  
                ปลายสายจึงเริ่มอธิบาย “เรื่องก็มีอยู่ว่า วันนี้ตอนเย็นแฟนหนูเขามาเล่าเรื่องที่เขาไปปรับเครื่องจักรให้เร็วขึ้น ทำให้ของเสีย แล้วก็ไม่มีคนยอมรับผิด แล้วพี่จะให้ใบเตือนทุกคน แฟนหนูเขาบอกว่าตอนนั้นเขาก็อยากจะสารภาพว่าเขาเป็นคนทำ แต่เขาไม่กล้า เพราะอายเพื่อนๆ และอายรุ่นน้องที่เพิ่งเข้ามาทำงาน เขาจึงอยากจะขอยอมรับผิดและขอรับใบเตือน โดยเขาขอร้องให้หนูโทรมาหาพี่ เพื่อจะได้ไม่ไปให้ใบเตือนกับเพื่อนคนอื่น เขาไม่อยากทำให้เพื่อนคนอื่นเดือดร้อนเพราะเขาค่ะ” 
หลังจากที่ปกเกล้าฟังจบแล้วก็พูดขึ้นว่า “ขอบคุณมากนะครับที่คุณก้อยโทรมา เอ่อ ไม่ทราบว่าตอนนี้ภูชนนท์เขาอยู่ตรงนั้นไหมครับ? ถ้าเขานั่งอยู่แถวนั้น เขาจะสะดวกไหม ถ้าผมจะขอคุยกับเขาหน่อย” 
                ครู่หนึ่งภูชนนท์ก็พูดกลับมาว่า “สวัสดีครับพี่ ผมขอโทษครับ ผมยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ผมขอโทษจริงๆ ครับ ผมไม่ได้ตั้งใจครับ” 
                “ไม่ต้องคิดมาก ผมดีใจที่คุณยอมรับ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ไปนอนเถอะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยคุยกันที่ทำงานนะ สวัสดี ราตรีสวัสดิ์” ปกเกล้าตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทั้งๆ ที่ยังง่วงนอนและมีความโกรธเหลืออยู่ 
วันรุ่งขึ้นหลังจากถึงที่ทำงานแล้ว ปกเกล้าก็เดินเข้าไปหาภูชนนท์ที่แผนก จากนั้นก็นัดประชุมกันตอนสิบโมงเช้า 
                เมื่อถึงห้องประชุมตามเวลานัดหมาย ปกเกล้าไปรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อภูชนนท์มาถึงเขาก็ยกมือไหว้แล้วกล่าวคำขอโทษขอโพย จากนั้นก็พูดว่า “ผมต้องขอโทษที่ให้แฟนโทรไปหาหัวหน้าตอนดึกนะครับ ผมยอมรับผิดและขอรับโทษในสิ่งที่ผมทำ หัวหน้าให้ใบเตือนผมมาได้เลยครับ อย่าไปให้ใบเตือนใครนะครับ”
               ปกเกล้ายกมือรับไหว้ จากนั้นก็เชิญภูชนนท์ให้นั่งแล้วเริ่มพูดว่า “ก่อนอื่นต้องขอฝากขอบคุณที่แฟนคุณกล้าที่จะโทรศัพท์ไปหาผม และถ้าเดาไม่ผิดที่แฟนคุณร้องไห้เมื่อคืน เป็นเพราะคุณบังคับให้เขาโทรมาหาผมใช่ไหม?” 
“ครับ” ภูชนนท์ก้มหน้าตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ 
              “ทำไมคุณถึงปรับความเร็วของเครื่องจักรเกินกำหนด?” ภูชนนท์เงยหน้ามาสบตาปกเกล้า จากนั้นก็ตอบกลับไปว่า “วันนี้วัตถุดิบเข้ามาช้ากว่าปกติเกือบชั่วโมง ถ้าเราใช้ความเร็วเท่าเดิม รับรองว่าผลิตของไม่ทันแน่ ผมจึงเร่งความเร็วของเครื่องจักรให้มากขึ้นเพื่อที่จะได้ผลิตสินค้าทันส่งน่ะครับ ผมหวังดีกับบริษัท ไม่อยากให้ลูกค้าร้องเรียนว่าบริษัทของเราส่งงานล่าช้าน่ะครับ”  
              ปกเกล้ายิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ผมมีนิทานชาดกจะเล่าให้คุณฟัง เรื่องนี้มีชื่อว่า อารามทูสกชาดก หรือลิงดูแลสวน ผมอยากจะให้คุณตั้งใจฟัง แล้วผมจะมีคำถามให้คุณช่วยตอบตอนท้ายด้วย  
              เรื่องมีอยู่ว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ กรุงพาราณสี ได้มีการจัดงานรื่นเริงประจำปี มีมหรสพมากมาย การแสดง การเล่นสนุกสนาน แถมยังมีร้านค้าขายของต่างๆ อีกมากมาย ทำให้ใครๆ ก็อยากจะไปเที่ยวชม ซึ่งรวมทั้งคนเฝ้าสวนหลวงด้วย วันหนึ่ง ขณะที่คนสวนกำลังทำงานก็นึกขึ้นได้ว่า ตนเองมีความสนิทชิดเชื้อกันดีกับลิงฝูงหนึ่ง เพราะเขามักจะมอบผลไม้ และอาหารต่างๆ ให้กับลิงเป็นประจำ 
              เมื่อนึกขึ้นได้ เย็นวันนั้นเขาก็เดินทางไปขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าลิง เพื่อให้ช่วยดูแลต้นไม้ที่เพิ่งปลูก เขาขอร้องให้ลิงมาช่วยดูแลสัก 7 วัน ถ้ากลับมาแล้วก็จะนำของกำนัลมามอบให้ด้วย หัวหน้าลิงรับอาสาโดยไม่อิดออด เมื่อเข้าทางของคนสวนแล้ว เขาก็รีบมอบเครื่องมือในการทำสวน ได้แก่ กระออมตักน้ำ จอบ เสียม ให้อย่างครบครัน และก่อนออกเดินทางก็ได้กำชับกับหัวหน้าลิงว่า “อย่าประมาทโดยเด็ดขาด” 
             ก่อนเริ่มงาน หัวหน้าลิงได้ประชุมกับเหล่าสมุนแล้วอธิบายว่า “น้ำทุกหยดมีค่า เราต้องใช้ให้คุ้มค่าและเกิดประสิทธิผลสูงที่สุด ดังนั้น ก่อนจะรดน้ำต้นไม้ต้นใด เราต้องดึงรากของต้นไม้ออกมาดูก่อนเสมอ ถ้าต้นไหนรากยาว แสดงว่าต้องการน้ำมาก เราก็รดน้ำมากหน่อย แต่ถ้าต้นไหนรากสั้น เราก็รดน้ำให้น้อยลงไปตามสัดส่วน” ลิงทุกตัวรับคำสั่ง และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด 
             ผ่านไปไม่กี่วัน ต้นไม้ในสวนแทนที่จะเติบโตชูลำต้นสู้แดด กลับกลายเป็น คอตก เหี่ยวแห้ง รอวันตาย ขณะนั้นเองก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินทางผ่านมา เห็นฝูงลิงกำลังขะมักเขม้นกับการดูแลสวน ลิงบางตัวกำลังถอนต้นไม้ บางตัวก็ยืนดูรากของต้นไม้ในมือ ลิงบางตัวกำลังขุดดิน และมีอีกหลายตัวกำลังรดน้ำ แต่สภาพที่เห็นคือ ต้นไม้ใกล้จะตายจนหมด เขาจึงรีบเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วสังเกตครู่หนึ่งก่อนจะถามกับหัวหน้าลิงด้วยความสงสัยว่า “ทำไมพวกท่านถึงต้องถอนรากต้นไม้ ก่อนที่จะรดน้ำด้วยล่ะ” หัวหน้าลิงยิ้มแล้วตอบกลับไปอย่างภูมิใจว่า “พวกเราต้องการใช้น้ำอย่างประหยัดที่สุด” 
             ชายหนุ่มส่ายหัวไปมาด้วยความผิดหวัง จากนั้นก็ตอบกลับไปว่า “ปัดโธ่เอ๊ย! ความฉลาดอาจไร้ประโยชน์ แถมยังจะเป็นโทษอย่างมหันต์ หากทำอะไรแล้วไม่คิดถึงผลลัพธ์สุดท้ายให้ถี่ถ้วน การกระทำของท่านเช่นนี้แม้จะประหยัดน้ำได้ก็จริง แต่ต้นไม้จะตายจนหมดแล้วเห็นไหม?” หัวหน้าลิงถึงกับสะดุ้ง เมื่อได้ยินคำเตือนนี้ 
             หลังจากที่เล่าจบ ปกเกล้าก็ถามภูชนนท์กลับไปว่า “คุณคิดว่าหัวหน้าลิงเขาทำผิดตรงไหน?” 
             ภูชนนท์ตอบอย่างเร็วว่า “เขาผิด เพราะเขาคิดไม่สุดครับ เขาคิดเพียงแค่จะประหยัดน้ำ แต่เขาลืมไปว่าผลลัพธ์สุดท้ายของการดูแลสวนไม่ใช่แค่การประหยัดน้ำ แต่ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดของการดูแลสวนก็คือ การทำให้ต้นไม้เติบโต แข็งแรง จากเรื่องนี้ผมรู้เลยว่า หัวหน้าต้องการจะสอนว่าผมคิดตื้นเกินไป ผมคิดแค่อยากจะส่งงานให้ทัน แต่ลืมไปว่าผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดของการทำงานคือ การที่บริษัทมีกำไรและเกิดการเติบโต ซึ่งการที่บริษัทจะมีกำไรและเติบโตได้นั้น พนักงานต้องไม่ผลิตของเสีย งานนี้ผมคิดสั้นมาก คิดเพียงแค่จะส่งให้ทัน จึงปรับเครื่องจักรให้มีความเร็วมากยิ่งขึ้น โดยลืมคิดไปว่าถ้ายิ่งเร่งความเร็วมากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่ชิ้นงานเสียก็จะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ผมนี่ไม่น่าพลาดเลย” 
            ปกเกล้ายิ้มแล้วพูดต่อว่า “ก็ดี ขอบคุณที่เข้าใจ แต่คุณยังมีความผิดที่ต้องปรับปรุงโดยด่วนอีกอย่างนะ” ภูชนนท์ทำคิ้วผูกโบว์ด้วยความงง แล้วถามกลับไปว่า “ผมมีอะไรที่ต้องปรับปรุงอีกเหรอครับหัวหน้า?” 
            ปกเกล้าทำหน้าจริงจังแล้วตอบด้วยน้ำเสียงขึงขังว่า “ก็การไม่กล้ายอมรับความจริงไง คนเราถ้าผิดแล้วยอมรับผิด ใครๆ ก็ให้อภัยทั้งนั้น แต่นี่คุณทำผิดแต่ไม่กล้ารับผิด แถมยังกลับไปทะเลาะกับคนที่บ้านจนทำให้ผู้หญิงต้องเสียน้ำตา ทำแบบนี้มันไม่ดีเอาเสียเลย ผมพูดตรงๆ เลยนะ จริงๆ แล้วผมไม่ได้อยากจะให้ใบเตือนอะไรหรอก เพราะผมรู้แล้วว่างานที่เสียนั้นสามารถนำมาแก้ไขได้ เรื่องนี้ผมรับได้นะ แต่เรื่องที่ผมรับไม่ได้จนทำให้ผมโกรธก็คือ ผิดแล้วไม่ยอมรับผิดนี่ละ ดังนั้น เพื่อเป็นการเตือนสติ และเป็นการดัดนิสัยของคุณให้เป็นคนกล้ายอมรับผิด ผมจะออกใบเตือนด้วยวาจาให้กับคุณ เรื่องการไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานการทำงาน จนทำให้เกิดความเสียหาย คุณยอมรับไหม?” 
            ภูชนนท์เงยหน้าขึ้นพร้อมยกมือไหว้ แล้วพูดว่า “ผมต้องขอโทษที่ทำให้หัวหน้าโกรธ และต้องขอโทษที่ผมทำตัวไม่ดี ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด ผมขอให้สัญญากับหัวหน้าว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปผมจะตั้งใจทำงานให้มากกว่าเดิม ผมจะปฏิบัติตามกฎระเบียบของบริษัทอย่างเคร่งครัด และถ้าผมจะทำอะไรที่นอกเหนือคำสั่ง หรือทำนอกเหนือจากมาตรฐานที่กำหนดไว้ ผมจะแจ้งให้หัวหน้าทราบก่อนทุกครั้ง และสุดท้ายผมจะเป็นคนกล้ายอมรับความจริง กล้าทำกล้ารับครับ” 
เมื่อได้ยินลูกน้องตอบมาแบบนี้ ปกเกล้าก็ยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ดี มันต้องอย่างนี้ แล้วผมจะช่วยคุณ เราจะติดตามผลการปรับปรุงตัวของคุณ 1 ปี ผมจะคอยให้กำลังใจและให้คำแนะนำคุณ ขอบคุณมากคุณภูชนนท์” 
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ภูชนนท์ก็ปรับปรุงตนเองจนกลายเป็นพนักงานต้นแบบ Role Model ของพนักงานคนอื่นๆ ทั้งโรงงาน จากเรื่องราวการทำงานผิดพลาดครั้งนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้บทเรียนเรื่องของการคิดให้สุด หรือการคิดให้ถึงผลลัพธ์สุดท้ายที่จะเกิดขึ้นก่อนลงมือปฏิบัติงาน

            ยอมเสียเวลาคิดสักนิด เพื่อจะได้ไม่มานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่า ปาดน้ำตาเสียใจภายหลัง สุดท้ายขอฝากคำคมคิดสะกิดใจที่ว่า “เกิดมาทั้งที ถ้าจะทำอะไรก็ต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้” ขอเป็นกำลังใจในการทำงาน และการใช้ชีวิตให้กับทุกๆ คน โชคดีนะครับ 
 

Top 5 Contents