กำลังโหลด...

×



HRM / HRD กาลครั้งใหม่

magazine image
HRM / HRD

กาลครั้งใหม่

วิชัย อุตสาหจิต

24 กุมภาพันธ์ 2565

              ช่วงเวลาของการเริ่มต้นปีปฏิทินใหม่เวียนมาอีกครั้ง
              ท่านผู้อ่านรู้สึกเช่นเดียวกับผู้เขียนบ้างหรือไม่ว่า เหมือนเราเพิ่งจะได้ส่งคำอวยพรและความปรารถนาดีต้อนรับปี 2564 ให้กันไปไม่นาน แล้วเราก็เดินทางผ่านเวลาค่อนข้างรวดเร็ว มาถึงช่วงที่ต้องส่งคำอวยพรหรือความปรารถนาดีเพื่อต้อนรับปี 2565 กันอีกแล้ว
             เพราะเวลาทำหน้าที่ของเค้าได้อย่างเที่ยงตรงเสมอ
             แม้เส้นทางการดำเนินชีวิตของแต่ละคนนั้นอาจแตกต่างหลากหลายกันไป แต่สิ่งหนึ่งในชีวิตที่ทุกคนมีเหมือนกันคือ “เวลา”
             เวลาของการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน
             เวลาที่มีเท่ากัน และเวลาที่เดินเร็วเท่ากัน
             คุณภาพชีวิตของแต่ละคนที่จะเกิดขึ้นนั้น จึงขึ้นอยู่กับการใช้เวลาในแต่ละวันของแต่ละคน
             หากเรามีวิธีคิด และมีมุมมองต่อชีวิตที่เหมาะสม ก็น่าจะส่งผลให้เราค่อย ๆ ได้ค้นพบ ได้เรียนรู้ และได้ตระหนักถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาได้อย่างเหมาะสม นำสู่การทบทวนเพื่อวิถีการดำเนินชีวิตที่เหมาะสมขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ได้เช่นเดียวกัน
บทความนี้ ขอชวนท่านผู้อ่านพิจารณาคำกล่าวถึงความสำคัญของเวลาในมิติต่าง ๆ ร่วมกับผู้เขียน เพื่ออาจทำให้เราได้แง่มุมความคิดบางประการไปใช้ในการทบทวนคุณภาพของการใช้เวลาในการดำเนินชีวิตของเรา เพื่อเป็นการต้อนรับศกใหม่ที่กำลังเริ่มต้นขึ้น
            คำกล่าวแรกที่เราส่วนมากมักจะคุ้นเคยกัน
            “Time and tide wait for no man.”
            “เวลาและสายน้ำไม่เคยรอใคร”
             มันเป็นเช่นนั้น และจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป เวลาไม่เคยหยุดเดิน และสายน้ำไม่เคยหยุดไหล ในทุกขณะของช่วงชีวิต เวลาเดินไปอย่างเที่ยงตรง เพียงเสี้ยววินาทีผ่าน วินาทีที่แล้วก็กลายเป็นอดีต วินาทีของอนาคตก็เดินทางมาถึงปัจจุบัน และเพียงเสี้ยววินาที วินาทีปัจจุบันนั้นก็ผ่านไปกลายเป็นอดีตเช่นกัน เป็นอย่างนั้นเรื่อยไป
            แล้วเรา ใช้เวลาในแต่ละขณะทำอะไรบ้าง และใช้อย่างไร
           “Time is like a river. You cannot touch the same water twice, because the flow that has passed will never pass again. Enjoy every moment in life.”
           “กาลเวลาเป็นดั่งแม่น้ำ เราไม่สามารถสัมผัสสายน้ำเดิมได้เป็นครั้งที่สอง เพราะสายน้ำไม่เคยหยุดไหล เมื่อสายน้ำไหลผ่านไปแล้ว จะไม่หวนคืน เราจึงควรใช้เวลาในทุกช่วงชีวิตให้ดีที่สุด”
            ไม่มีวินาทีซ้ำเดิม ไม่มีช่วงเวลาเดิม ไม่มีโอกาสแบบเดิม และไม่มีช่วงจังหวะชีวิตใดหวนคืนกลับได้เลย ช้าหรือเร็วตามท่วงทำนอง แต่เมื่อผ่านมาแล้ว ก็จะผ่านเลยไป
แล้วเรา ได้ใช้เวลาในแต่ละขณะได้คุ้มค่ามากน้อยเพียงใด
           “Time has a wonderful way of showing us what really matters.”
           “กาลเวลามีวิธีแสดงให้เราเห็นได้อย่างมหัศจรรย์ว่า แท้จริงแล้วอะไรบ้างที่มีความสำคัญสำหรับชีวิตเรา”
           เมื่อเราเติบโตขึ้นผ่านกาลเวลา เรามักได้เรียนรู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตเราอย่างแท้จริง และสิ่งใดเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือจำเป็นน้อยมากในชีวิตเรา
           อะไรคือสิ่งที่เราควรสะสม อะไรคือสิ่งที่เราควรละ
           อะไรคือสิ่งที่เราควรยึด อะไรคือสิ่งที่เราควรวาง
           อะไรคือแก่นของชีวิต 
           อะไรคือสาระของการดำเนินชีวิต
          “Everything comes to you at the right time. Be patient.”
          “ทุกอย่างจะผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ในช่วงเวลาที่เหมาะสมเสมอ ขอจงอดทนรอ”
          เพราะหลายสิ่งต้องใช้เวลาบ่มเพาะ เพราะหลายอย่างต้องใช้เวลาขัดเกลาเรียนรู้ และเพราะทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยเวลาในการพัฒนา เติบโต และก้าวหน้า
          ในแต่ละช่วงเวลา เราได้สร้าง เราได้เริ่มต้น เราได้ลงมือทำ เราได้ฝึกฝน เราได้แก้ไขปรับปรุงอะไรและอย่างไรไปบ้าง เพราะเมื่อถึงเวลา สิ่งเหล่านั้นจะบังเกิดเป็นผลลัพธ์ ผลิดอกออกผลตามธรรมชาติ เมื่อเราทำได้ดีพอ และมากพอ
          “Good things take time.”
          “สิ่งดี ๆ ในชีวิต ต้องใช้เวลาเสมอ”
           สอดคล้องกับคำกล่าวก่อนหน้านี้ โดยเน้นย้ำที่การบ่มเพาะผ่านกาลเวลาของสรรพสิ่งต่าง ๆ สิ่งใดที่มีคุณค่าต่อตัวเรามักต้องอาศัยระยะเวลาในการสร้าง เสริม และได้มา
           ยกตัวอย่าง เช่น ข้าว ธัญพืชแห่งชีวิตของคนไทย กว่าจะเติบโต ออกรวง และสุกเป็นสีเหลืองทองพร้อมให้เก็บเกี่ยวนั้น ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร แม้ผู้ปลูกประสงค์จะย่นเวลาให้สั้นลงเพียงใด ก็ไม่สามารถทำได้
หลายสิ่งหลายอย่างบนโลกใบนี้ ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาและเติบโต ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น
          “You reap what you sow.”
           เราปลูกอะไรไว้ ก็ได้เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น
           ต่อยอดจากตัวอย่างในคำกล่าวก่อนหน้านี้ ขยายความได้ว่า เราลงมือปลูกต้นอะไรไว้ เราก็จะได้เก็บเกี่ยวผลจากต้นเหล่านั้น
          หากเราปลูกข้าว แล้วเราหวังจะเก็บเกี่ยวผลเป็นสิ่งอื่น ก็มิอาจเป็นไปได้
          ในการดำเนินชีวิตของเรานั้น จึงควรได้คำนึงถึงสิ่งที่ลงมือทำในแต่ละขณะ ในแต่ละวันให้จงหนัก เพราะเราทำสิ่งใด ย่อมได้ผลลัพธ์จากการกระทำนั้นในท้ายที่สุด
          เมื่อเราหวังความสำเร็จในการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน ขอจงพิจารณาว่าสิ่งที่เราลงมือทำอยู่ทุกวันในขณะนี้จะสามารถนำเราไปสู่เป้าหมายที่เรามั่นหมายไว้เหล่านั้นได้หรือไม่ อย่างไร
          “Don’t judge each day by the harvest you reap but by the seeds you plant.”
         “อย่าตัดสินความสำเร็จของแต่ละวันด้วยสิ่งที่ท่านได้เก็บเกี่ยวผล แต่จงพิจารณาจากเมล็ดพันธุ์ที่ท่านได้หว่านลงดิน”
         ต่อเนื่องจากข้อความก่อนหน้านี้ ที่ชวนให้เราลงมือทำในสิ่งที่จะนำไปสู่ผลสำเร็จตามที่ได้ตั้งเป้าหมาย สำหรับคำกล่าวนี้สามารถนำมาต่อยอดความคิดได้ว่า ความสำเร็จในแต่ละวันที่เราได้รับจากการเก็บเกี่ยวผลของสิ่งที่เราได้ลงมือทำไว้ในอดีตนั้น ก็มีความจำเป็น แต่มีความสำคัญน้อยกว่าการที่เราต้องลงมือทำในปัจจุบัน ในสิ่งที่จะก่อเกิดเป็นผลลัพธ์ที่เราต้องการในอนาคต
         ดังนั้น เราไม่ควรมัวชื่นชมความสำเร็จในปัจจุบัน โดยไม่ลงมือทำในสิ่งที่ควรเริ่มต้นเสียตั้งแต่ในวันนี้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ในวันข้างหน้า
         “Everything beautiful has its moment, and then passes away.”
         “สิ่งสวยงามทุกสิ่งมีห้วงเวลาของมัน และความสวยงามของมันก็เลือนหายไปเมื่อเวลาผ่านพ้นไป”
          คำกล่าวข้างต้นนี้ตอกย้ำสาระที่ว่า ทุกอย่างมีเวลาของมัน
          ดอกไม้ที่ว่าสวย ก็มีวันร่วงโรย เริ่มต้นจากการแตกเป็นยอดอ่อน เติบโตเป็นดอกตูม และผลิบานสวยงาม แต่เมื่อถึงเวลาก็เริ่มแห้งเหี่ยว โรยราไปตามกาลเวลา
          ชีวิตของคนและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ก็เช่นกัน เมื่อมีชีวิต ก็มีหมดชีวิต มีความสวยงาม ก็มีหมดความสวยงาม
          จึงอยู่ที่ว่า คนและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายได้ใช้เวลาในช่วงต่าง ๆ ของชีวิตไปอย่างไร โดยเฉพาะในช่วงที่เราผลิบาน เติบใหญ่เต็มศักยภาพ เราได้ใช้ศักยภาพเหล่านั้นไปอย่างสร้างสรรค์ สร้างประโยชน์ และสร้างคุณค่าได้อย่างเหมาะสมต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ มากน้อยเพียงใด
          และคำกล่าวสุดท้าย ที่จะขอนำมากล่าวถึงในบทความนี้ก็คือ
         “Everything takes time. Time takes everything.”
         “ทุกสิ่งต้องใช้เวลาในการนำพาให้เกิดขึ้น และเวลาก็จะนำพาให้ทุกสิ่งจากไปเช่นเดียวกัน”
          คำกล่าวนี้สะท้อนสัจธรรมของชีวิตได้ดียิ่ง เพราะไม่มีสิ่งใดจะหนีพ้นความเกิด ความตั้งอยู่ ความเสื่อมสลาย และความดับไปได้เลย
           หากเราแต่ละคนได้ตระหนักถึงความจริงดังกล่าวข้างต้นแล้ว คงทำให้เราได้วางแผนในการดำเนินชีวิตอย่างรอบคอบ มีวิธีคิดและการแสดงออกที่ละเอียดและประณีต เพื่อให้การใช้เวลาในแต่ละขณะเป็นไปด้วยดีและมีคุณค่ามากที่สุด
และสำหรับกาลครั้งใหม่ที่กำลังเริ่มขึ้นนี้ ท่านผู้อ่านได้วางแผนไว้ว่าอย่างไรบ้าง
          ขอนำข้อความสั้น ๆ ที่ผมได้โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว เป็นผลึกความคิดเล็ก ๆ ชวนคิดไว้ มาลงเป็นเนื้อความส่งท้ายบทความดังนี้

         “...ข้อดีอย่างหนึ่งของวัยที่สูงขึ้น
          น่าจะเป็นการได้เห็นการก้าวผ่านของกาลเวลาแห่งชีวิต
          มีกาลครั้งหนึ่งของการเริ่มต้น
          มีกาลครั้งนั้นของการสิ้นสุด
          และมีกาลครั้งใหม่ของช่วงชีวิต
         ไม่ว่าร้ายหรือดี มีหรือขาดแคลน
         แข็งแรงหรืออ่อนแอ สำเร็จหรือผิดพลาด 
         พบหรือจาก สุขหรือทุกข์ หรืออะไร ๆ 
         ทุกอย่างมีเวลาของมัน
         คราวใดที่เรามีสติ เราเท่าทันและดำเนินตนไปในครรลอง
         คราวใดที่เราขาดสติ เราหลงทางและเลื่อนลอย
         แต่ทุกอย่างก็มีเวลาของมัน
         สิ่งที่เราพึงทำ คือไม่ประมาท
         ทำทุกกาลเวลาให้เต็มที่
         เพียรรักษาสติอยู่กับเราไว้ให้ได้มาก
         เพราะเราก็มีเวลาของเรา
         และเราก็ไม่อาจรู้ได้ว่า 
         เราจะมีกาลครั้งใหม่ให้เริ่มต้นได้อีกหรือไม่...”

         ขอส่งความปรารถนาดีมายังท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอให้ท่านได้มีโอกาสทำกาลครั้งหนึ่ง กาลครั้งนั้น และกาลครั้งใหม่ได้อย่างประณีตงดงาม สมดังที่ท่านหมายใจ
 

Top 5 Contents