
กฎหมายสำคัญต้องพิจารณาเมื่อดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ
28 ตุลาคม 2567
เมื่อผู้ประกอบการตัดสินใจลงทุนทำธุรกิจในต่างประเทศ นอกเหนือจากที่จะต้องให้ความสนใจในการประกอบธุรกิจให้ได้กำไรแล้ว ผู้ประกอบการต้องเข้าใจว่าการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในต่างประเทศนั้นมีภาระและหน้าที่ตามกฎหมายหลายส่วน ทั้งในแง่ของกฎหมายประเทศไทยและกฎหมายต่างประเทศที่ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตาม โดยเงื่อนไขข้อกำหนดกฎหมายดังกล่าวในหลาย ๆ ส่วนเป็นประเด็นกฎหมายที่ผู้ประกอบการต้องให้ความใส่ใจต่อเนื่อง เพื่อป้องกันสิทธิการลงทุนของตนในประเทศนั้น ๆ ให้ได้เต็มประสิทธิภาพ ถูกต้อง และครบถ้วน
บทความฉบับนี้จะมาสรุปประเด็นกฎหมายที่ผู้ประกอบการที่ลงทุนดำเนินธุรกิจในต่างประเทศต้องให้ความใส่ใจ
1. กฎหมายภาษีของประเทศที่ไปลงทุนดำเนินธุรกิจ
ผู้ประกอบการทุกท่านคงเข้าใจอยู่แล้วว่า กฎหมายภาษีเป็นกฎหมายที่ผู้ประกอบการไม่ว่าทำธุรกิจอยู่ประเทศใดก็หนีไม่พ้น และเช่นเดียวกับกฎหมายอื่น ๆ แต่ละประเทศมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการที่จะกำหนดภาระภาษี อัตราภาษี และเงื่อนไขอื่น ๆ ด้านภาษีได้อย่างอิสระ ผู้ประกอบการจึงต้องทำความเข้าใจภาระภาษีที่ตนมี สิทธิประโยชน์ภาษีที่อาจมี และนำเอาความเข้าใจด้านภาษีดังกล่าวไปใช้เพื่อการวางแผนภาษีอย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ ในกรณีการวางแผนภาษีนั้น ผู้ประกอบการควรปรึกษาที่ปรึกษาด้านกฎหมายภาษีในแต่ละประเทศเป็นหลัก เนื่องจากเงื่อนไขภาษีของแต่ละประเทศย่อมมีความแตกต่างกันไป ผู้ประกอบการไม่สามารถอาศัยข้อสมมุติฐานหรือหลักการของประเทศไทยมาใช้เกี่ยวกับการวางแผนภาษีดังกล่าวได้
หน้าที่เสียภาษี
โดยหลักการผู้ประกอบการจะต้องเสียภาษีนิติบุคคลในประเทศใดก็ต่อเมื่อได้มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลหรือมี Permanent Establishment (PE) ในประเทศนั้น เมื่อผู้ประกอบการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเพื่อประกอบธุรกิจอยู่ในประเทศใด ผู้ประกอบการย่อมมีหน้าที่ต้องเสียภาษีในประเทศที่จดทะเบียนจัดตั้งตามหลักกฎหมายสากลที่ใช้ร่วมกันทุกประเทศอยู่แล้ว นอกจากนี้ แม้จะไม่มีการจดทะเบียนจัดตั้งในประเทศนั้น ๆ โดยตรง แต่หากผู้ประกอบการมี Permanent Establishment (PE) ในประเทศใด ผู้ประกอบการย่อมมีหน้าที่ต้องเสียภาษีในประเทศนั้นด้วยเช่นกัน
สำหรับนิยามของ PE แม้ว่าแต่ละประเทศจะมีอำนาจกำหนดนิยามและลักษณะของ PE ที่แตกต่างกันไปเป็นการเฉพาะ แต่โดยหลักการของกฎหมายสากลทั่วไป ผู้ประกอบการอาจจะถือว่ามี PE ในประเทศใดประเทศหนึ่งจาก 2 ปัจจัย คือ
(ก) การมีสถานประกอบการ (Place of Business) รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในประเทศนั้น เช่น การจัดตั้งสำนักงาน โรงงาน สถานที่ประกอบการแบบใดแบบหนึ่ง หรือ
(ข) การมีตัวแทนที่ดำเนินการแทนผู้ประกอบการนั้น (Dependent Agent) ในการตัดสินใจลงนามและดำเนินธุรกรรมทั้งหมดแทนผู้ประกอบการอยู่ในประเทศนั้น ๆ
ซึ่งหากผู้ประกอบการถือว่าเข้านิยามการมี PE ในต่างประเทศ ผู้ประกอบการก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีในประเทศนั้น ๆ ทันทีเช่นกัน
ประเภทภาษีโดยหลัก
เมื่อมีหน้าที่ต้องเสียภาษีในประเทศใด ผู้ประกอบการต้องศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับอัตราภาษี การคำนวณภาษี และการยื่นแบบเสียภาษีของประเทศนั้น ๆ ให้ถูกต้อง ครบถ้วน ซึ่งแน่นอนแต่ละประเทศมีอำนาจในการออกกฎหมายเพื่อกำหนดกรอบการเสียภาษีของผู้ประกอบการในประเทศตนเองได้อย่างอิสระแตกต่างกันสำหรับแต่ละประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม หลักการเบื้องต้นที่ผู้ประกอบการสามารถยึดถือเพื่อเป็นกรอบในการศึกษาหาข้อมูลการเสียภาษีในแต่ละประเทศอาจสรุปเป็นหัวข้อประเภทภาษีหลัก ๆ ได้ดังนี้
(ก) การเสียภาษีทางตรง คือ ภาษีโดยตรงที่ผู้ประกอบการต้องชำระสำหรับการสร้างรายได้ และ/หรือกำไรจาก PE ในประเทศนั้น ๆ โดยเฉพาะ เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax) หรือภาษีกำไร (Profit Tax)
(ข) การหักภาษี ณ ที่จ่าย คือ หลักการภาษีที่กฎหมายกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องหักภาษีออกจากจำนวนเงินที่จะมีการชำระให้แก่บุคคลอื่นซึ่งได้รับเงินได้จากผู้ประกอบการ และมีหน้าที่นำส่งภาษีที่หักดังกล่าวให้แก่ภาครัฐ
(ค) การเสียภาษีทางอ้อม คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) หรือภาษีการค้า ซึ่งเป็นต้นทุนของราคาในการขายสินค้าและบริการในประเทศนั้น ๆ และเป็นอีกส่วนหนึ่งของหน้าที่ที่ผู้ประกอบการอาจต้องจดทะเบียนเพิ่มเติม รวมถึงต้องนำส่งภาษีทางอ้อมดังกล่าวให้แก่ภาครัฐ
(ง) การเสียภาษีรูปแบบอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้อง ซึ่งโดยหลักจะประกอบด้วยภาษีด้านเอกสาร เช่นเดียวกับ อากรแสตมป์ (บางประเทศอาจกำหนดการจดทะเบียนสัญญาและการเก็บค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนดังกล่าว) ภาษีป้าย ภาษีทรัพย์สิน เป็นต้น
ภาษีที่ต้องชำระก่อนโอนเงินกลับ
ภาษีอีกส่วนหนึ่งที่ผู้ประกอบการควรให้ความสนใจอย่างมากในการประกอบธุรกิจในต่างประเทศ คือ ภาษีที่ผู้ประกอบการต้องชำระก่อนการโอนเงินส่วนทุนหรือกำไรกลับประเทศไทย ซึ่งโดยหลักกฎหมายประเทศต่าง ๆ มักกำหนดให้มีการคิดภาษีกำไรและ/หรือรายได้จากการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการก่อน และอาจมีการกำหนดให้มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย ก่อนการโอนทุนหรือกำไรจากการประกอบธุรกิจออกไปประเทศอื่นด้วยเช่นกัน ซึ่งในส่วนของภาษีกรณีดังกล่าวผู้ประกอบการต้องศึกษาให้ชัดเจนเช่นกัน เพราะย่อมกระทบต่อจำนวนเงินที่ผู้ประกอบการจะได้จากการลงทุนในต่างประเทศในท้ายที่สุด
สิทธิประโยชน์ภาษี
เมื่อผู้ประกอบการทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีที่ต้องเสียภายใต้กฎหมายของแต่ละประเทศแล้ว ผู้ประกอบการควรศึกษาละเอียดลงไปถึงสิทธิประโยชน์ภาษีที่แต่ละประเทศอาจประกาศกำหนดด้วยเช่นกัน โดยหลักการประเทศต่าง ๆ มักมีประเภทธุรกิจหรือพื้นที่เศรษฐกิจบางพื้นที่ที่ประเทศต้องการส่งเสริมให้มีการลงทุนในประเทศของตน และหนึ่งในปัจจัยการส่งเสริมจูงใจให้มีการลงทุนในธุรกิจและพื้นที่ดังกล่าว รัฐบาลมักกำหนดให้สิทธิประโยชน์ภาษี ไม่ว่าจะเป็นการยกเว้นภาษีนำเข้า หรือการให้ Tax Holiday ด้วยการยกเว้นการคิดภาษีนิติบุคคลให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจดำเนินธุรกิจในประเภทธุรกิจ และ/หรือพื้นที่ที่ประเทศต้องการส่งเสริม หากผู้ประกอบการเข้าใจสิทธิประโยชน์ภาษีเหล่านี้ ย่อมช่วยให้ผู้ประกอบการมีข้อได้เปรียบในการประกอบธุรกิจในประเทศนั้น ๆ ได้มากขึ้น รวมถึงอาจสามารถวางแผนภาษีได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
ภาษีบุคคลธรรมดา
นอกเหนือจากภาษีนิติบุคคลแล้ว ผู้ประกอบการต้องให้ความสนใจภาษีบุคคลธรรมดาที่ตนเองต้องเสียด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นภาษีบุคคลธรรมดาจากการเป็นผู้ถือหุ้น หรือเป็นผู้บริหาร พนักงานของบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งหรือประกอบธุรกิจอยู่ในต่างประเทศดังกล่าว ภายใต้หลักการทั่วไปการที่บุคคลธรรมดาต้องเสียภาษีประเทศใดขึ้นกับปัจจัยหลัก 2 ส่วนคือ 1. ปัจจัยสัญชาติ หรือ 2. ปัจจัยระยะเวลาในการทำงานหรือการประกอบธุรกิจอยู่ในประเทศนั้น ๆ ซึ่งหากผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์ต้องเสียภาษีในประเทศใด โดยหลักการแล้วประเทศจะกำหนดหน้าที่ในการเสียภาษีบุคคลธรรมดาไว้เป็น 2 ลักษณะหลัก ไม่ว่าในรูปแบบของการยื่นเสียภาษีโดยตรงที่ผู้ประกอบการบุคคลธรรมดานั้นต้องยื่นเสียภาษี หรือรูปแบบที่ผู้ประกอบการบุคคลธรรมดานั้นต้องอยู่ภายใต้บังคับการหักภาษี ณ ที่จ่าย
2. กฎหมายภาษีอากรไทยสำหรับรายได้ที่นำกลับมาในประเทศไทย
รายได้นำกลับต้องเสียภาษีไทยด้วยเช่นกัน
นอกเหนือจากภาษีของประเทศที่ผู้ประกอบการไปลงทุนแล้ว เมื่อผู้ประกอบการนำเงินทุนหรือกำไรกลับมาในประเทศไทย ผู้ประกอบการอาจอยู่ภายใต้บังคับต้องเสียภาษีตามกฎหมายประเทศไทยด้วยเช่นกัน โดยถือว่าเงินที่นำกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของรายได้ของบริษัทแม่ในประเทศไทยหรือเป็นรายได้ของผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาที่หามาได้
ภาษีบุคคลธรรมดา
ภายใต้คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.161/2566 ที่ออกมาเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2566 กรมสรรพากรกำหนดว่า บุคคลซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยตามมาตรา 41 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร (หมายถึง ผู้ที่อยู่ในประเทศไทยถึง 180 วัน ในปีภาษีใดก็ตาม) ที่มีเงินได้พึงประเมินเนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ ตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ในปีภาษีดังกล่าว และได้นำเงินได้พึงเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีใดก็ตาม ให้บุคคลนั้นมีหน้าที่ต้องนำเงินได้พึงประเมินนั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ตามมาตรา 48 แห่งประมวลรัษฎากร ในปีภาษีที่ได้นำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย ดังนั้นหากผู้ประกอบการบุคคลธรรมดายังคงทำงานและใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยเกิน 180 วัน เมื่อมีเงินได้เกิดขึ้นจากต่างประเทศ ผู้ประกอบการต้องนำเงินได้ดังกล่าวมารวมคำนวณเสียภาษีในประเทศไทยด้วยเสมอ ไม่ว่าจะนำเงินดังกล่าวกลับมาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกันหรือไม่ก็ตาม ภาระภาษีบุคคลธรรมดาดังกล่าวเป็นอีกปัจจัยของกฎหมายที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสนใจและปฏิบัติตาม
อนุสัญญาภาษีซ้อน
เงินได้ที่ผู้ประกอบการได้มาจากการลงทุนในต่างประเทศ โดยหลักต้องนำมาคำนวณเพื่อการเสียภาษีในประเทศไทยด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยหลักการของกฎหมายภาษีสากล รัฐบาลประเทศไทยเองก็พยายามหลีกเลี่ยงประเด็นการเสียภาษีซ้ำซ้อนของผู้ประกอบการเช่นกัน จึงมีการดำเนินการกลไกการขจัดภาษีซ้อนด้วยการจัดทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศกับประเทศต่าง ๆ (Double Tax Agreements) เพื่อกำหนดกรอบในการบรรเทาหรือขจัดปัญหาการจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อนระหว่างประเทศ ภายใต้หลักการที่ว่ากรณีที่เงินได้ประเภทหนึ่งของบุคคลเจ้าของเงินได้ต้องถูกเสียภาษีที่ประเทศใดมาแล้ว เงินได้จำนวนดังกล่าวจะได้รับการยกเว้นหรือได้รับการลดอัตราภาษีอากรที่ต้องเสียในอีกประเทศหนึ่งด้วย ทั้งนี้ ก่อนที่ผู้ประกอบการจะประกอบธุรกิจในประเทศใด ผู้ประกอบการควรต้องตรวจสอบด้วยเช่นกันว่าประเทศไทยได้มีการจัดทำสนธิสัญญาขจัดภาษีซ้อนกับประเทศที่ผู้ประกอบการจะไปลงทุนหรือไม่ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์กลไกภาษีที่มีให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยมีอนุสัญญาภาษีซ้อนที่มีผลบังคับใช้แล้วทั้งหมด 61 ประเทศ (อ้างอิงจากข้อมูลในวันที่ 17 พฤษภาคม 2567)
3. กฎหมายอื่นที่ต้องถือปฏิบัติตาม
ในการประกอบธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อมีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลและธุรกิจในประเทศใดแล้ว ผู้ประกอบการย่อมอยู่ภายใต้บังคับของเขตอำนาจรัฐของประเทศนั้น ๆ ซึ่งมีสิทธิที่จะออกกฎหมายกำหนดเงื่อนไขหน้าที่ที่ผู้ประกอบการต้องดำเนินการเป็นการเฉพาะได้ โดยถือเป็นหน้าที่สำคัญที่ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการกำหนดโทษ ซึ่งในบางส่วนอาจรวมไปถึงโทษอาญาหรือการเพิกถอนใบอนุญาต ทั้งนี้ กฎหมายหลักที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสนใจในการปฏิบัติตามอาจแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้
(1) กฎหมายที่กำหนดเงื่อนไขการขอใบอนุญาตสำหรับการดำเนินกิจการหรือธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น
(ก) ใบอนุญาตที่ต้องขอเพื่อการประกอบธุรกิจ (Business Sector Operating License) เช่น ใบอนุญาตที่ควบคุมการดำเนินธุรกิจบางประเภทเป็นการเฉพาะ ที่ต้องขอใบอนุญาตก่อนจึงจะสามารถดำเนินกิจการได้ (เช่น ใบอนุญาตประกอบธุรกิจการเงิน หรือสุขภาพ เป็นต้น) สำหรับส่วนของใบอนุญาตประกอบธุรกิจนี้บทความฉบับก่อนหน้าได้ให้ข้อสรุปที่น่าสนใจที่ผู้ประกอบการต้องพิจารณา โดยถือเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่สำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุนในต่างประเทศมาแล้ว
(ข) ใบอนุญาตเพื่อการดำเนินกิจกรรมใดเป็นการเฉพาะ (Business Activities License) ซึ่งอาจมีผลบังคับกับการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจบางประเภทของผู้ประกอบการ เช่น การขออนุญาตก่อสร้าง การดำเนินการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม (Environmental Social Impact Assessment - ESIA) การขออนุญาตตั้งโรงงาน รวมถึงใบอนุญาตด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น ใบอนุญาตปล่อยน้ำเสีย เป็นต้น หรือ
(ค) ใบอนุญาตส่งเสริมการลงทุน ซึ่งเมื่อมีการออกใบอนุญาตส่งเสริมการลงทุนต่าง ๆ หน่วยงานของรัฐประเทศต่าง ๆ มักจะกำหนดเงื่อนไขเฉพาะที่ผู้ประกอบการต้องดำเนินการตามด้วยเช่นกัน ซึ่งสำหรับกฎหมายประเภทดังกล่าว ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามด้วยการขอใบอนุญาต ต่ออายุใบอนุญาตที่มีกำหนดระยะเวลาให้ครบถ้วนรับประกันความต่อเนื่องขอใบอนุญาต และผู้ประกอบการยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจประกาศกำหนดเพิ่มเติมเป็นเงื่อนไขของใบอนุญาตให้ครบถ้วนด้วยเช่นกัน
(2) กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานหรือการนำเข้าแรงงาน
เนื่องจากการประกอบธุรกิจในต่างประเทศย่อมต้องอาศัยแรงงานทั้งในภายในประเทศ และการนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศ ผู้ประกอบการจึงต้องให้ความสำคัญในการปฏิบัติตามเงื่อนไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองแรงงานให้ครบถ้วน เพื่อให้สามารถว่าจ้างและคุ้มครองแรงงานเหล่านั้นให้ได้ตามกรอบกฎหมายที่กำหนดไว้ และเพื่อความปลอดภัยของแรงงานที่ผู้ประกอบการว่าจ้างไปเพื่อดำเนินงานด้วย โดยกฎหมายดังกล่าวอาจรวมถึงกฎหมายคุ้มครองแรงงาน กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ หรือกฎหมายทั่วไปอื่นที่กำหนดเกี่ยวกับเงื่อนไขการทำงานและสวัสดิการที่ต้องจัดให้แก่แรงงานดังกล่าว กฎหมายการนำเข้าแรงงานต่างประเทศด้วยการขอโควตาการว่าจ้างแรงงานต่างประเทศ การขอวีซ่าสำหรับการเข้าประเทศ (Business Visa) และการขอใบอนุญาตทำงาน (Work Permit)
(3) กฎหมายเกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยอื่น
นับเป็นอีกกฎหมายที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสนใจการปฏิบัติตาม เช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมายความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ กฎหมายแข่งขันทางการค้า กฎหมายการประกอบธุรกิจคนต่างด้าว กฎหมายที่ดิน เป็นต้น ซึ่งในกรณีของกฎหมายประเภทดังกล่าวอาจมีความแตกต่างกันตามแต่ละประเทศ และแตกต่างกันตามประเภทธุรกิจที่ผู้ประกอบการอาจดำเนินการ ทั้งนี้ ก่อนการประกอบธุรกิจในประเทศนั้น ๆ ผู้ประกอบการย่อมควรต้องให้ความสนใจในการปฏิบัติตามกฎหมายเหล่านั้นให้ครบถ้วนเพื่อป้องกันความเสี่ยงในการรับโทษ ซึ่งอาจมีทั้งโทษทางแพ่ง โทษทางปกครอง หรือโทษทางอาญา
4. กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศนั้น ๆ
ทรัพย์สินทางปัญญาคุ้มครองเฉพาะประเทศที่จดทะเบียน
เพื่อการรับประกันสิทธิในการประกอบธุรกิจในต่างประเทศ ผู้ประกอบการควรพิจารณาถึงกฎหมายที่สำคัญอีกฉบับหนึ่ง คือ กฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศที่ไปลงทุน ทั้งนี้ หลักการสากลเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญามีอยู่ว่า การจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาเป็นไปตามหลักการ Territorial คือ จดทะเบียนที่ประเทศไหนจะได้รับการคุ้มครองที่ประเทศนั้นเป็นหลัก
ดังนั้นกรณีที่แม้ผู้ประกอบการจะจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทยครบถ้วนแล้ว แต่การจดทะเบียนของประเทศไทยไม่ได้มีผลบังคับในต่างประเทศได้ ในทางกลับกัน ผู้ประกอบการต้องศึกษาและวางแผนการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศที่จะไปประกอบธุรกิจให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่จะไปเปิดตลาดขายสินค้าหรือบริการ หรือประเทศที่จะมีการจ้างผลิตสินค้าหรือบริการดังกล่าว ปัจจุบันยังไม่มีกลไกพิเศษในการที่ผู้ประกอบการจะสามารถนำทะเบียนของประเทศไทยไปยื่นจดทะเบียนกับหน่วยงานต่างประเทศได้ด้วยกลไก Fast Track ผู้ประกอบการยังต้องมีหน้าที่จัดทำเอกสารและดำเนินการตามกลไกเงื่อนไขเฉพาะที่แต่ละประเทศกำหนดเฉพาะ แต่อย่างไรก็ตาม ในการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา ปัจจุบันมีเพียงกลไกสนธิสัญญาระหว่างประเทศ สำหรับการจดทะเบียนสิทธิบัตรผ่านกลไกอนุสัญญากรุงปารีส และการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าผ่านกลไกอนุสัญญามาดริด ซึ่งมีกลไกที่จะช่วยสนับสนุนในการส่งคำร้องขอยื่นจดทะเบียนให้สามารถดำเนินการเพียงครั้งเดียว และเอกสารดังกล่าวจะได้รับการอำนวยความสะดวกในการส่งไปให้แก่เจ้าหน้าที่หน่วยงานประเทศอื่น ๆ เท่านั้น อย่างไรก็ตาม การยื่นเอกสารคำร้องผ่านกลไกสนธิสัญญานั้นไม่ได้เป็นกลไกที่รับประกันว่า การยื่นคำร้องนั้นจะได้รับการอนุมัติโดยหน่วยงานของประเทศนั้น ๆ ผู้ประกอบการยังคงต้องวางแผนการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาในแต่ละประเภทที่ประกอบธุรกิจอยู่
การคุ้มครองในแง่ความลับทางการค้า
นอกจากกลไกการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาในแต่ละประเทศที่ไปลงทุนแล้ว การคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของผู้ประกอบการที่ดีที่สุดและสามารถบังคับใช้ได้อย่างแน่นอน คือ การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาผ่านกลไกการคุ้มครองความลับทางการค้า (Trade Secret) ด้วยการจัดทำสัญญาหรือข้อตกลงการรักษาความลับระหว่างคู่สัญญา โดยในการจัดทำสัญญาหรือข้อตกลงดังกล่าว คู่สัญญาสามารถตกลงให้ใช้กฎหมายของประเทศใดเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับก็ได้ ดังนั้นเพื่อความมั่นใจ ผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้กฎหมายประเทศไทยเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับ (Governing Law) ได้เช่นกัน ส่วนกลไกในการร้องเรียนเพื่อแก้ไขข้อพิพาทนั้น โดยหลักการการฟ้องร้องต้องดำเนินการที่ศาลที่มีเขตอำนาจ คือ ศาลที่เป็นเขตภูมิลำเนาของจำเลยหรือเขตที่เกิดสัญญา ดังนั้นกรณีการแก้ไขข้อพิพาท โดยหลักอาจต้องเป็นศาลประเทศที่ผู้ประกอบการไปประกอบธุรกิจ เว้นคู่สัญญาอาจตกลงกันให้ดำเนินการแก้ไขข้อพิพาทด้วยอนุญาโตตุลาการในประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งอาจรวมถึงประเทศไทยก็ได้ ซึ่งกรณีนั้นข้อตกลงของคู่สัญญาจะได้รับการบังคับโดยอนุญาโตตุลาการที่คู่สัญญาเลือก
5. การโอนเงินต่างประเทศ
กฎหมายส่วนสุดท้ายที่ผู้ประกอบการควรต้องให้ความสนใจศึกษาและปฏิบัติตามก็คือ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการรับเงินเข้า-โอนเงินออกต่างประเทศของประเทศต้นทางที่ผู้ประกอบการไปลงทุน และกฎหมายสำหรับการโอน-รับเงินจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยภายใต้กรอบกฎหมายประเทศไทย เพื่อรับประกันว่าเงินที่โอนเข้าไปจะได้รับการยอมรับและรับทราบโดยหน่วยงานรัฐ เพื่อให้สามารถนำออกมาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญในการปฏิบัติตามกลไกเพื่อการนำเงินเข้าไปในประเทศที่ไปลงทุนให้ถูกกฎหมาย ทั้งนี้ อาจต้องมีกลไกการขออนุญาตหรือการยืนยันการนำทุนเข้าในประเทศนั้น ซึ่งหากมีก็ต้องดำเนินการให้ครบถ้วนเพื่อให้ไม่มีประเด็นปัญหาเวลานำเงินออก ทั้งนี้ หลักในการโอนเงินออกนอกประเทศ ผู้ประกอบการต้องดำเนินการจัดทำเอกสารเพื่อรองรับเงินจำนวนที่จะโอนออกให้ถูกต้องตามหลักการเช่นกัน และกรณีของกฎหมายประเทศไทย ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับกฎหมายคุ้มครองเงินที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดยต้องดำเนินการขออนุญาตและนำเสนอหลักฐานให้ถูกต้องครบถ้วนเช่นกัน โดยที่ควรดำเนินธุรกรรมการโอนทั้งหมดผ่านบัญชีธนาคารแทนการใช้เงินสด ซึ่งอาจมีปัญหากฎหมายอื่นนอกเหนือจากกฎหมายคุ้มครองการโอนเงินตราต่างประเทศที่ผู้ประกอบการต้องพิจารณา เช่น กฎหมายศุลกากร เป็นต้น
บทความนี้มีจุดประสงค์สรุปประเด็นกฎหมายหลักที่เป็นหลักกฎหมายทั่วไปที่ผู้ประกอบการจะต้องให้ความสำคัญ สำหรับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องยั่งยืนในประเทศนั้น ๆ แต่ทั้งนี้ แต่ละประเทศอาจมีความแตกต่างและพิเศษในการกำหนดเงื่อนไขออกกฎหมายเฉพาะประเภทอื่น ๆ เพื่อบังคับใช้กับผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศของตน นอกเหนือจากหลักการสากลที่ระบุหัวข้อไว้ในบทความฉบับนี้ได้ ดังนั้นผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญในการปรึกษากฎหมายดังกล่าวให้รอบด้าน
นอกจากนี้ บทความนี้ยังนำเสนอประเด็นของกฎหมายประเทศไทยที่อาจเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการในต่างประเทศด้วยเช่นกัน โดยผู้ประกอบการต้องเข้าใจว่า แม้จะเป็นการประกอบธุรกิจอยู่ต่างประเทศ แต่ท้ายที่สุดด้วยเหตุที่บริษัทแม่และผู้ประกอบการดังกล่าวหากยังมีสัญชาติไทยอยู่ กฎหมายประเทศไทยก็ยังเป็นส่วนที่ผู้ประกอบการต้องศึกษาและปฏิบัติตามอยู่เช่นเดิม
Top 5 Contents

- Transformative Accounting เปลี่ยนโฉมการทำงานบัญชีด้วยเทคโนโลยียุคดิจิทัล
- พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กับ “งานบัญชี” ที่ผู้ประกอบการต้องรู้
- สัมภาษณ์พิเศษ คุณทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า “Powered by DBD เสริมพลังผู้ประกอบการ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย”
- "การสื่อสาร" ปัจจัยขับเคลื่อนให้เกิดวัฒนธรรม Feedback และ Coaching
- ธรรมาภรณ์แปดบทชีวิต
- ลูกกระรอกกับต้นมะละกอ